วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2552

กระทิงแดง แรงข้ามทวีป

ถ้าพูดถึงกระทิงแดงแล้ว เพื่อนๆคงจะนึกถึงภาพอะไรกันครับ ผมขอเดาน่ะครับว่า คงเป็น นักมวยชู้กำปั้น หรือผู้ที่ใช้แรงงาน เช่น คนขับรถสิบล้อทื่ต้องหาเช้ากินค่ำถ่างตาขับรถกันดึกดื่น ที่ใช้กระทิงแดงช่วยไม่ให้หลับใน ใช่มั๊ยครับ???

ภาพลักษณ์ของ กระทิงแดง ในบ้านเรา หรือจะเป็นเครื่องดื่มชูกำลังแบรนด์อื่นๆ เช่น ลิโพ, คาราวบาวแดง มักแสดงให้เห็นถึงภาพลักษณ์ของ "ลูกผู้ชาย" "แมนเต็มร้อย" หรือ "นักสู้ผู้เสียสละ" ซึ่งนี่เป็นการสื่อให้ผู้บริโภครับรู้ภาพลักษณ์เช่นนี้ในประเทศไทย

ในทางกลับกันน่ะครับ การตลาดและการสื่อสารตราในตลาดต่างประเทศน่ะครับ ซึ่งจะแตกต่างจากการตลาดในประเทศอย่างรุนแรงเลยครับ เพราะ กระทิงแดง หรือ Red Bull นั้น ในต่างประเทศจะโปรโมตไปในทิศทางของเครื่องดื่มวัยรุ่น นักเที่ยวกลางคืน หรือคนรุ่นใหม่ที่ชอบการท้าทาย กล้าได้กล้าเสีย กระทิงแดงจึงกลายเป็นเครื่องดื่ม "หรู" และ "เท่ห์" ที่เสิร์ฟตามบาร์ และ คลับในหลายๆประเทศ




ที่น่าสนใจคือ ข้อมูลที่มา และที่ไปของ กระทิงแดง ในสื่อไทยและต่างประเทศนั้น ผิดกันแบบหาต้นตอไม่เจอเลยทีเดียว ในไทยสื่อจะนำเสนอว่า เฉลียว และ เฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของกระทิงแดงว่าเป็นผู้บุกเบิกตลาดกระทิงแดงไปในต่างประเทศ จนโด่งดังไปทั่วโลก แต่สื่อต่างประเทศกลับไม่มีใครเคยกล่าวไว้ถึงเมืองไทยสักนิดเลย จะมีก็เพียงแต่นิตยสารอีโคโนมิสต์ ฉบับวันที่ 9 พฤษภาคม 2545 ว่า เป็นเพราะ ดีทริช มาเทสชิทซ์ ชาวออสเตรเลีย มาทำงานอยู่ที่ บริษัท เบล็นแด๊กซ์ กรุงเทพ ในฐานะผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด ซึ่งผลิตจัดจำหน่าย ยาสีฟันของเยอรมนี ซึ่ง ดีทริช ได้ค้นพบและติดใจในรสชาติของกระทิงแดง จนนำไปสู่การนำกระทิงแดงสู่อินเตอร์ ซึ่งบางแห่งบอกว่า ดีทริช ติดใจเพราะว่า สามารถรักษาอาการ Jet Lag ได้
(คุณ เฉลียว อยู่วิทยา ปัจจุบัน เป็นบุคคลที่รวยที่สุดในประเทศไทย มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 136,000ล้านบาท)

(นาย ดีทริช มาเทสชิทซ์)


เป็นที่น่าแปลกอีกว่าโฮมเพจ ของกระทิงแดงในสหรัฐอเมริกา และสหราชอาณาจักรอังกฤษ เองกลับไม่ได้กล่าวถึงที่มาที่เกี่ยวกับประเทศไทยเลย ได้แต่เล่าว่า ดีทริช ได้ไอเดียที่จะเอากระทิงแดงไปเผยแพร่ในยุโรป ขณะนั่งอยู่ในบาร์ของโรงแรมแมนดาริน บรเกาะฮ่องกง เมื่อปี 2525 และในนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) ได้เกริ่นเพิ่มว่า เมื่อดีทริชได้ไอเดียแล้ว จึงติดต่อ เฉลียว ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มชนิดนี้อยู่แล้ว แต่ไม่ได้บอกว่า เป็นเจ้าของมาแต่ดั้งเดิม เพื่อจับมือกับผลิต ส่งออกยุโรป
(คุณ เฉลิม อยู่วิทยา แม้ถือหุ้นแค่ 2% ก็คิดเป็น 6,290 ล้านบาท อยู่อันดับที่ 27)


เมื่อทั้งสองตกลงทำธุรกิจร่วมกันแล้ว จึงออกเงินลงทุนคนละ 500,00$ เพื่อจัดตัดบริษัทใหม่ คือ Red Bull โดยที่ดีทริชและเฉลียว ถือหุ้นคนละ 49% และที่เหลือ 2% ให้เฉลิม ลูกชายของเฉลียวถือไว้ โดยที่ ดีทริชจะเป็นผู้ควบคุมการตลาดต่างประเทศทั้งหมด ในปี 1987 หรือ 22 ปีที่แล้ว ก็ได้ผลิตภัณฑ์ตัวแรก คือ Red Bull นั้น จะเป็นเครื่องดื่มคาร์บอเนต ซึ่งจะมีความหวานน้อยกว่า กระทิงแดง โดยเริ่มจากการจำหน่ายที่ประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศแรก
และในปี 1992 Red Bull ได้เข้าตลาดระหว่างประเทศครั้งแรกที่ ประเทศฮังการี และสหรัฐอเมริกา (รัฐคาลิฟอร์เนีย) ในปี 1997
ในปี 2008 นิตยสารฟอร์บส์ ได้จัดอันดับว่า เฉลียวและดีทริช เป็นบุคคลรวยอันดับที่ 260 ของโลก มีทรัพย์สินประมาณ 4 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ

โดยที่ความสำเร็จของกระทิงแดงทั้งหมดมาจากการวางแผน Positioning ของดีทริช ซึ่งกำหนดไว้ว่า เป็นเครื่องดื่มของคนรุ่นใหม่ ที่ชอบความ "แรง" โดยมุ่งเป้าไปที่เด็กนักเรียนมหาวิทยาลัย และหนุ่มๆวัยทำงาน มีการเป็นสปอน์เซอร์ กีฬาโลดโผน และกีฬาที่อาศัยความเร็วมากๆ เช่นการแข่งขันฟอร์มูล่าวัน

จากคอนเซปท์ดังกล่าว Red Bull กลายเป็นเครื่องเดิมสำหรับนักเที่ยวกลางคืน ที่นิยมดื่มผสมกับ โค้ก วอดก้า หรือแม้กระทั่ง เหล้า ซึ่งจะมีราคาแพงมากทีเดียวเมื่ออยู่ในบาร์หรือคลับเหล่านี้ ตกแก้ว หรือกระป๋องล่ะ 100- 200บาท ยิ่งถ้าผสมวอดก้าอาจมีราคาถึง 400-500 บาทต่อช็อตทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น